กระรอก(Squirrel)
เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม มีขนาดลำตัวเล็ก
ขนปุยปกคลุมทั่วทั้งร่ายกายอันน้อยๆของมัน นัยตากลมโต มีหางเป็นพวงฟู
จัดอยู่ในประเภทสัตว์ฟันแทะ
วงศ์กระรอกมี วงศ์ย่อย 2 วงศ์ คือ Pteromyinae
ได้แก่ กระรอกบิน และวงศ์ Sciurinae ได้แก่
กระรอกต้นไม้, กระรอกบิน, ชิพมั้งค์
สำหรับการเลี้ยงกระรอกทั้งสองชนิดนั้นก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันมากครับ
กระรอกต้นไม้
เป็นกระรอกที่มักพบเห็นได้บ่อยๆและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีหางยาวเป็นพวงสวยงาม
มีกรงเล็บแหลมคมมากๆ และมีใบหูใหญ่กว่าชนิดอื่นๆ บางชนิดมีปอยขนที่หู ส่วนกระรอกบินนั้น
จะมีพังผืดข้างลำตัว สำหรับกางเพื่อร่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
มักเป็นการหากินในตอนกลางคืน มีตาสะท้อนแสงไฟ กระรอกดิน มักจะมีรูปร่างสั้น
และล่ำสันกว่ากระรอกต้นไม้ทั่วไปเล็กน้อย มีขาหน้าแข็งแรงใช้สำหรับการขุดดิน
หางของกระรอกดินนั้นจะสั้นกว่าหางของกระรอกต้นไม้ และไม่ฟูเป็นพวงนัก
และเช่นเดียวกับสัตว์ฟันกัดแทะชนิดอื่น ๆ กระรอกจะมีนิ้วเท้าหลังข้างละ 5 นิ้ว และ
นิ้วเท้าหน้าข้างละ 4 นิ้ว ตรงส่วนที่น่าจะเป็นนิ้วโป้งจะกลายเป็นปุ่มนูน ๆ
ซึ่งถูกพัฒนาให้เหมาะสำหรับจับอาหารมาแทะ
กระรอกมีขนาดใหญ่เล็กต่าง ๆ กันไปตามสายพันธุ์
และสามารถแบ่งตามขนาดได้ 3 กลุ่ม
คือ
ขนาดใหญ่ เช่น พญากระรอก ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทยพบอยู่เพียง 2 ชนิด คือ
พญากระรอกดำ (Ratufabicolor) และพญากระรอกเหลือง (Ratufa
affinis) ซึ่งได้ถูกขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ขนาดกลาง เช่น
กระรอกหลากสี (Callosciurus finlaysoni) กระจ้อน (Menetes
berdmorei) และ ขนาดเล็ก เช่น กระเล็น (กระถิก)
ซึ่งเป็นกระรอกที่เล็กที่สุดที่พบในประเทศไทย
วัยเจริญพันธุ์ของกระรอกจะแตกต่างกันไป แล้วแต่สายพันธุ์ จะเริ่มตั้งแต่ 4เดือน ถึง 2ปี ระยะเวลาตั้งท้องประมาณ 20-40 วัน จำนวนลูกไม่แน่นอน แต่ส่วนใหญ่ประมาณ 1-2 ตัว อายุขัยอาจจะสามารถยาวนานได้ถึง 10 ปี
ลูกกระรอกจะเลี้ยงค่อนข้างยากเนื่องจาก ผู้ขายมักจะนำมาจากแม่ในธรรมชาติ มากกว่าที่จะมีการเพาะเลี้ยงได้เอง ดังนั้นจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพพอสมควร เพราะไม่ได้รับน้ำนมจากแม่มาอย่างเพียงพอ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้เลี้ยงกระรอกที่เล็กเกินไป ลูกกระรอกที่ยังไม่ลืมตาต้องมีการกระตุ้นให้ตาเปิดโดยใช้สำลี ชุบน้ำหมาดเช็ดที่ตามทุกวัน นอกจากนี้ต้องเช็ดที่ก้นด้วยเพื่อกระตุ้นการขับถ่าย
ลูกกระรอกที่ยังไม่หย่านมจำเป็นต้องกินน้ำนม น้ำนมส่วนใหญ่ที่ให้กินจะเป็นนมผงสำหรับเด็กแรกเกิด หรือนมผงสำหรับเลี้ยงลูกสุนัข หรือกระต่าย หรือหนู นอกจากนี้อาจให้เป็นนมถั่วเหลืองได้ สำหรับนมวัวไม่แนะนำให้ใช้ เพราะมักจะเป็นสาเหตุให้กระรอกท้องเสียได้ เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลที่ลูกกระรอกไม่สามารถย่อยได้มาก การชงนม ต้องชงใหม่ทุกครั้ง และไม่ให้นมที่ร้อนเกินไปแก่ลูกกระรอก การชงนมไม่ควรให้เข้มข้นเกินไปเพราะจะกินยาก และทำให้เกิดการท้องอืด หรือท้องเสียได้ การป้อนนมนิยมใช้กระบอกฉีดยาขนาดเล็กค่อยๆหยอดให้กิน อย่าให้เร็วหรือมากเกินไปในแต่ละครั้ง เพราะอาจทำให้สำลักได้ซึ่งจะส่งผลให้ลูกกระรอกเป็นปอดบวมได้ ลูกกระรอกควรได้กินนมประมาณ 5 ครั้งต่อหนึ่งวัน ในแต่ละครั้งไม่ควรให้จนอิ่มเกินไปเพราะจะทำให้ท้องอืดได้
ลูกกระรอกต้องการความอบอุ่นมากกว่ากระรอกโต ดังนั้นที่อยู่ของมันควรจะปราศจากลมพัด อากาศอบอุ่น ควรมีการตั้งหลอดไฟ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ลูกกระรอก มีผ้าเพื่อให้ลูกกระรอกซุกตัว และปลอดภัยจากสัตว์อื่นรวมทั้ง เด็กที่อาจจะเข้ามารบกวน และอันตรายแก่ลูกกระรอกได้
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgc08dYTylyCpJKpBN9hvwV-HaR_aGkf6eLLikQ8_pyFp0X0XmscexhBtNtZ3b6puhBC2B24-8en-ekCsHBT_7jWl1riosjpJfdbFB2qa57it7NxIB9PTwRaVk2pu-sq3DcP-Ze5C-d_YY/s1600/c10.gif)
ควรเริ่มให้อาหารอ่อนเมื่อเมื่อลูกกระรอกอายุประมาณ
2-3 เดือน
แต่คนเลี้ยงไม่นิยมหย่านมลูกกระรอกเนื่องจากสามารถให้นมเป็นอาหารลูกกระรอกที่โตได้เช่นกัน
จริงๆแล้วควรฝึกให้ลูกกระรอกเริ่มกินผลไม้ ผัก ใบไม้เป็นหลัก
และให้นมเป็นอาหารเสริม เพราะจะช่วยให้กระรอกมีร่างกายที่แข็งแรงมากกว่า
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgc08dYTylyCpJKpBN9hvwV-HaR_aGkf6eLLikQ8_pyFp0X0XmscexhBtNtZ3b6puhBC2B24-8en-ekCsHBT_7jWl1riosjpJfdbFB2qa57it7NxIB9PTwRaVk2pu-sq3DcP-Ze5C-d_YY/s1600/c10.gif)
.ผู้เลี้ยงบางท่านชอบอาบน้ำให้กระรอก
ซึ่งสามารถทำได้ แต่ควรจะเช็ดตัว
และทำให้กระรอกตัวแห้งโดยเร็วเพื่อไม่ให้เป็นปอดบวม การอาบน้ำทำได้โดยใช้น้ำเปล่าอาบ
หากจำเป็นต้องใช้แชมพูให้ใช้แชมพูของสุนัขที่อ่อนที่สุด
โดยนำไปละลายน้ำให้เจือจางอีก 3-4 เท่า ก่อนอาบ
•ท้องเสียลูกกระรอกต้องการความอบอุ่นมากกว่ากระรอกโต ดังนั้นที่อยู่ของมันควรจะปราศจากลมพัด อากาศอบอุ่น ควรมีการตั้งหลอดไฟ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ลูกกระรอกมีผ้าเพื่อให้ลูกกระรอกซุกตัว และปลอดภัยจากสัตว์อื่นรวมทั้ง เด็กที่อาจจะเข้ามารบกวน และอันตรายแก่ลูกกระรอกได้
•ปอดบวม อาการที่พบคือ หายใจลำบาก หอบ
มีน้ำมูก ไอ เบื่ออาหาร เป็นต้น สาเหตุมักเกิดจาก อากาศเย็นเกินไป การอาบน้ำ
ความเครียดจากการย้ายที่อยู่ หรือเปลี่ยนอาหาร โรคนี้มักจะทำให้กระรอกเสียชีวิตได้
การรักษา มักจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา
รวมทั้งต้องมีการป้อนอาหารเพื่อไม่ให้กระรอกขาดอาหารมากเกินไปด้วย
การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ยาวนานเกินไปอาจส่งผลให้กระรอกท้องเสียได้
ถ้าเกิดอาการท้องเสียหลังจากรักษาปอดบวมหายแล้ว
ให้ป้อนโยเกิร์ตเป็นอาหารแก่กระรอกเพื่อเป็นการเพิ่มแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ลดอาการท้องเสียได้
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgc08dYTylyCpJKpBN9hvwV-HaR_aGkf6eLLikQ8_pyFp0X0XmscexhBtNtZ3b6puhBC2B24-8en-ekCsHBT_7jWl1riosjpJfdbFB2qa57it7NxIB9PTwRaVk2pu-sq3DcP-Ze5C-d_YY/s1600/c10.gif)
กระรอกแป็นสัตว์ที่ออกหากินในตอนกลางวัน (ยกเว้นตระกูลกระรอกบิน) แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะออกหาอาหารในช่วงเช้ามืดหรือตอนเย็น เราสามารถพบกระรอกอยู่เป็นกลุ่มได้ในต้นไม้ที่ออกผลมาก มีความเชื่อกันว่ากระรอกตัวที่โตเต็มที่นั้นจะแบ่งเมล็ดพืชให้กับกระรอกที่ยังเล็กอยู่ เชื่อกันว่ากระรอกนั้นจะซ่อนอาหาร อย่างเช่นผลไม้สุก ไว้ในรอยแตก หรือรอยแยกของกิ่งไม้
แต่บริเวณที่เกิดการซ้อนเหลื่อมนี้อาจขยายอาณาเขตมากขึ้นเมื่อตัวเมียมีน้อยลงและอาจทำให้กระรอกมาเผชิญหน้ากัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ กระรอกตัวที่เป็นเจ้าของอาณาเขตจะไล่กระรอกตัวอื่นไปจนกระทั่งกระรอกตัวนั้นออกจากอาณาเขตของตนไป
หรือกระรอกตัวที่เป็นเจ้าของอาณาเขตอาจไม่แสดงอาการใดๆ
เลยแล้วใช้ชีวิตตามปกติต่อไป
กระรอกตัวที่ปกครองเป็นใหญ่ในบริเวณนั้นจะยังคงอยู่โดยเฉพาะบริเวณที่ใช้เป็นที่หาอาหารประจำและมีกระรอกอยู่ทั้ง
2 เพศ ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดชีวิตของมัน
กระรอกเป็นสัตว์ที่พบว่ามีอาศัยอยู่ทั่วโลกยกเว้นในทวีปออสเตรเลีย,
ตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้, และบริเวณทะเลทราย
กระรอกสามารถอาศัยอยู่ในถิ่นที่อยู่อาศัยที่มีความแตกต่างกัน
ตั้งแต่ป่าฝนเขตร้อนไปจนถึงเขตอาร์คติกทุนดรา และจากชั้นเรือนยอดของต้นไม้ไปจนถึงโพรงใต้ดิน
โดยส่วนใหญ่แล้วกระรอกจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ
15.8 องศาเซลเซียส และมีปริมาณน้ำฝน 1455 มม.
จะสามารถพบกระรอกได้มากในป่าเขตอบอุ่นโดยเฉพาะป่าที่มีไม้ผลมาก
สำหรับในประเทศไทยนั้นสามารถพบเห็นกระรอกได้ทุกภูมิภาค แต่จะพบได้มากที่ภาคใต้และพบว่ามีจำนวนน้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กระรอกบางพันธุ์นั้นจะสามารถพบได้เฉพาะในภาคใต้เท่านั้น เช่น พญากระรอกเหลือง
กระรอกสามสี กระรอกหางม้าใหญ่ กระรอกหน้ากระแต
ซึ่งกระรอกเหล่านี้ล้วนเป็นกระรอกพันธุ์หายาก และใกล้จะสูญพันธุ์
กระรอกในประเทศไทยนั้นก็มีลักษณะการหาอาหารคล้ายกับกระรอกต้นไม้อื่นๆ
คือ ดำรงชีวิตด้วยการกินใบไม้ ผลไม้ เมล็ดพืช แมลง ผลไม้เปลือกแข็ง และโคนต้นสน
กระรอกเหล่านี้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่หากินบนต้นไม้ แต่บางเวลาหากินบนพื้นดิน
และแน่นอนว่าอาหารส่วนใหญ่ของกระรอกล้วนเกี่ยวกับต้นไม้
ทำให้กระรอกมักจะเก็บสะสมอาหารอยู่บนกิ่งไม้
กระรอกมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและอาหารตามฤดู ในฤดูหนาว
กระรอกจะกินดอกที่ยังอ่อนๆ ของต้นแต้ฮวย
ซึ่งจะออกดอกตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายนในปีถัดไป
จากนั้นกระรอกจะเปลี่ยนมากินใบไม้ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคม
และเมื่อถึงเดือนมิถุนายนกระรอกก็จะเริ่มกินผลไม้ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง
กระรอกจะกินแมลงที่มีคุณค่าทางอาหารสูง
โดยเฉพาะมดที่กำลังกักตุนอาหารก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือน
- อาหารหลัก : กระรอกเป็นสัตว์กินพืชเป็นอาหารหลัก
โดยมากจะกินผลไม้และธัญพืช
- อาหารที่เป็นสัตว์ :
แมลง บางครั้งกระรอกจะกินแมลงเมื่อต้องการแร่ธาตุบางชนิด
- อาหารที่เป็นพืช :
ได้แก่ ใบไม้ เมล็ดพืช ธัญพืช ผลไม้เปลือกแข็ง และผลไม้
- พฤติกรรมการหาอาหาร
: มีการสะสมหรือซ่อนอาหารไว้กินในฤดูหนาว
กระรอกมีการสืบพันธุ์แบบ promiscuous
หรือ polygynandrous คือตัวผู้หรือตัวเมียหลายๆ
ตัวผสมกับเพศตรงข้าม 1 ตัว ในวันที่ตัวผู้เป็นสัด
ตัวผู้หลายตัวจะมารวมกันล้อมรอบตัวเมียและเริ่มส่งเสียงร้อง
การส่งเสียงร้องนี้เป็นการเริ่มต้นแข่งขันกันในหมู่ตัวผู้
ซึ่งจะมีตัวผู้ตัวหนึ่งที่ชนะและได้ผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวนั้น
ตัวผู้ตัวที่ชนะจะได้ครอบครองตัวเมียในช่วงเวลาสั้นๆ
เพื่อให้แน่ใจว่าไข่ของตัวเมียนั้นได้รับการผสมจากตนเอง
แต่ถ้าจำนวนตัวผู้ที่เข้าแย่งชิงนั้นมีจำนวนมาก ตัวผู้ตัวนั้นก็อาจไปจากตัวเมีย
และตัวเมียก็อาจจะเริ่มผสมกับตัวผู้ตัวหนึ่งที่ชนะตัวผู้ตัวอื่นๆ
ที่เข้ามาในขณะนั้น
หลังจากผสมพันธุ์แล้ว
ในตอนแรกตัวเมียจะออกสำรวจหาบริเวณและสร้างรังในบริเวณที่เหมาะสมและค่อนข้างปลอดภัย
พฤติกรรมนี้จะพบมากที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่ตรงกับฤดูผสมพันธุ์ของกระรอก
ภายในรังของกระรอกนั้นพบว่า แม่กระรอกสามารถให้กำเนิดลูกได้ครั้งละหลายตัว
ปี (ยังไม่เคยมีการรายงานเป็นตัวเลขที่แน่นอนแต่สำหรับกระรอกที่ถูกคนเลี้ยงดูนั้น
โดยเฉลี่ยแล้วมีอายุประมาณ 17 ปี และบางพันธุ์อาจมีอายุยืนถึง 21 เลี้ยงขังในกรง)
เช่น กระรอกสามสี
ในธรรมชาตินั้น กระรอกมีศัตรูคือสัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก
เช่น อีเห็น ชะมด พังพอน แมวป่า รวมทั้งเหยี่ยว นอกจากนี้
กระรอกอาจถูกคนจับมาขายหรือฆ่าทิ้งเนื่องจากทำลายผลผลิตของเกษตรกร
โดยเฉพาะกระรอกที่ไปอาศัยในสวนปาล์ม
0-2 สัปดาห์ ช่วงนี้ลูกกระรอกจะตัวแดงๆ
จนถึงเริ่มไม่แดง แล้วก็จะยังไม่มีลายให้เห็นนัก
2-3
สัปดาห์ จะเริ่มเห็นสีของผิวหนังซึ่งจะเป็นบริเวณที่ ขนจะขึ้นเป็นลาย
3-4
สัปดาห์
เริ่มมีขึ้นเป็นสีๆขึ้นบริเวณที่เป็นลาย ของผิวหนังในตอนแรก
5-6
สัปดาห์ ขนจะเริ่มปุกปุย ทั้งลำตัวและ
ที่หาง และตาเริ่มจะเปิด เมื่ออายุ
6-7สัปดาห์
(สำหรับกระรอกพันธุ์ตัวใหญ่ก็จะโตช้ากว่ากระรอกพันธุ์ตัวเล็กๆ)
**ในที่นี้เป็นเกลย์สแควรอล
หรือกระรอกสีเทา ของต่างประเทศ
10
สัปดาห์ขึ้นไป กระรอกสามารถกินอยากอื่นได้บ้างแล้วนอกจากนม แต่ก็ยังต้องกินนมเสริม
5
เดือน กระรอกโตเต็มวัย
ผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วย ส้ม มังคุด
กระรอกกินผลไม้ได้เกือบทุกชนิด โดยเฉพาะมะพร้าวเป็นผลไม้ที่กระรอกชอบมาก
กระรอกสามารถแทะมะพร้าวทั้งลูก กินเนื้อมะพร้าว
และสร้างเป็นรังนอนได้ในเวลาอันสั้นเนื่องจากฟันที่แข็งแรง
และถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแทะ กระรอกบางตัวจะชอบผลไม้รสเปรี้ยว เช่นมะนาว
มะขามเปียกผลไม้เหล่านี้เป็นแหล่งวิตามินซีที่ดีของกระรอก กระรอกบางตัวกินมะนาวได้เป้นลูกๆ
กินเยอะมากไปก็ไม่ดีนะคะผลไม้ตระกูลแตง ไม่ว่าจะเป็น แตงโม แตงกวา แตงไทย
หรือแตงล้านล้วนเป็นอันตรายต่อลูกกระรอกทั้งสิ้น เนื่องจากน้ำที่มีมาก
และยางหรือยาฆ่าแมลงที่ตกค้างลูกกระรอกอาจท้องเสียทันทีที่ได้รับอาหารประเภทนี้
ในกรณีกระรอกโต บางตัวกินได้บางตัวกินแล้วท้องเสีย
กระรอกบางตัวจะกินแมลง เช่น แมลงเม่า ซึ่งกระรอกอาจจับกินเอง เพื่อเสริมวิตามิน และธาตุอาหารบางชนิดซึ่งไม่มีในผลไม้ ธัญพืช และถั่วต่างๆ
ลูกกระรอกมักต้องการนมเป็นอาหารหลัก โดยปกติลูกกระรอกจะกินนมแม่ ถึงอายุประมาณ 2 เดือน โดยจะเริ่มกินผลไม้ตั้งแต่อายุ 1 เดือน แม้ว่ากระรอกกินผลไม้ได้บ้างแล้วเราก็ควรให้นมด้วย
เพราะลูกกระรอกต้องการแคลเซียมเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต
นมสำหรับูกกระรอกเล็ก
ได้แก่
1. นมวัว2.นมแพะ
3. นมข้นหวาน
4. ซิลิแล็ก
5. นมถั่วเหลือง
อาหารเสริม
- Heinz มีทั้งสูตรผลไม้เข้มข้น
และสูตรที่เป็นข้าวโอ๊ตต่างๆ โดยอาหารเสริมเหล่านี้ควรให้ลูกกระรอกที่อายุ 2
เดือนขึ้นไป1. ระวังสารเคมีตกค้างในผลไม้ และสารพิษจากเมล็ดถั่วแห้ง
2. ไม่ควรเปลี่ยนนมกระทันหัน
3. กระรอกควรได้รับอาหารที่หลากหลาย มากกว่ากินชนิดเดียวนานๆ
4. การเปลี่ยนแปลงอาหารทุกครั้ง
ควรสังเกตุกระรอกว่ากระรอกมีอาการผิดปกติหรือไม่